วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2560

ภาษาเยอรมัน : Wurst


ไส้กรอก มาจากคำภาษาลาตินว่า Salsus  คือ "การเก็บรักษาเนื้อสัตว์โดยใช้เกลือ" หรือมาจากคำว่า Wurst ในภาษาเยอรมัน ซึ่งหมายถึง "เนื้อสัตว์บดละเอียดผสมกับเกลือและเครื่องเทศ บรรจุลงในไส้" ดังนั้นกรรมวิธีในการผลิตไส้กรอกนั้นจึงถือได้ว่าเป็นกรรมวิธีในการถนอมอาหารแบบหนึ่ง
ไส้กรอก มีความเป็นมานานถึง 3,500 ปีแล้ว ในยุคบาบิโลเนีย ลักษณะเป็นเนื้อหมักเครื่องเทศ ยัดไว้ในไส้สัตว์ ในยุคกลาง เมืองต่าง ๆ ในยุโรปได้พัฒนาสูตร รสชาติ และรูปร่างของไส้กรอกของตนเอง และตั้งชื่อไส้กรอกตามชื่อเมืองที่เป็นถิ่นกำเนิด เช่น ไส้กรอกเวียนนา เป็นต้น
ไส้กรอกของประเทศแถบเมดิเตอเรเนียนจะมีลักษณะแข็งและแห้งเพื่อไม่ให้ไส้กรอกบูดเสียได้ง่ายในอากาศร้อนแถบนั้น ส่วนไส้กรอกของสก็อตแลนด์นิยมยัดไส้ด้วยข้าวโอ๊ต มากกว่าจะใช้เนื้อหมูหรือเนื้อวัว ไส้กรอกที่เป็นที่นิยมกันมากที่สุดประเภทหนึ่งในเยอรมนี คิดค้นขึ้นโดยชาวเมืองแฟรงเฟิร์ต จึงมีชื่อเรียกว่าแฟรงเฟอเตอร์ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า แฟรงค์ มีขนาดหนา นุ่ม ใส่เครื่องเทศและรมควันอย่างดีมีรูปร่างโค้งเล็กน้อย คล้ายรูปร่างของสุนัขดัชชุน จนบางคนเรียกไส้กรอกประเภทนี้ว่า ไส้กรอกดัชชุน เล่ากันว่าผู้คิดไส้กรอกประเภทนี้เลี้ยงสุนัขดัชชุนไว้หนึ่งตัว จึงเกิดความคิคว่าไส้กรอกที่มีรูปร่างเหมือนสุนัขตัวโปรดนี้จะเป็นที่นิยมของตลาดด้วย
ในยุคปัจจุบันการผลิตไส้กรอกเป็นการประยุกต์ใช้กระบวนการถนอมอาหารหลายอย่างรวมกัน เช่น การใช้สารเคมี การใช้ความร้อน การอบแห้ง การแช่แข็ง และการแช่เย็น จึงทำให้ผลิตภัณฑ์ไส้กรอกในปัจจุบันนั้นมาให้เลือกบริโภคอย่างหลากหลาย ซึ่งจะแตกต่างกันตามลักษณะของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต ชนิดของเครื่องเทศและเครื่องปรุงรส ชนิดของเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว เนื้อปลา เป็นต้น อัตราส่วนระหว่างเนื้อสัตว์และไขมันของเนื้อสัตว์ ความละเอียดของการบดเนื้อสัตว์และเครื่องเทศ วิธีการผสม ขั้นตอนการผลิต วิธีการอัดไส้ ขนาดและความยาวของไส้ที่นำมาใช้ และ ชนิดของไส้ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
1.ไส้ธรรมชาติ เช่น ไส้แกะ ไส้หมู หรือหลอดลมวัว
2.ไส้สังเคราะห์หรือไส้เทียม เช่น ไส้จากคอลลาเจน ไส้สังเคราะห์จากใยฝ้าย หรือไส้พลาสติก
วัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตไส้กรอก ได้แก่ เนื้อสัตว์ เกลือแกง ไขมัน เกลือไนเตรต เครื่องเทศ และเครื่องปรุงรส โดยเนื้อสัตว์ที่นำมาใช้ในการผลิตไส้กรอกจะต้องมีความสามารถในการรวมตัวกับน้ำได้สูง โดยมีแอคติน และไมโอซิน ทำหน้าที่ให้น้ำและไขมันในเนื้อสัตว์สามารถรวมตัวกันได้ เกลือนอกจากจะทำหน้าที่ให้รสชาติแล้วยังทำหน้าที่สกัดโปรตีนจำพวก แอคตินและไมโอซิน ออกจากกล้ามเนื้อของสัตว์ ทำให้ไส้กรอกที่ได้มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มและชุ่มฉ่ำและให้กลิ่น และรสชาติที่คงตัว เกลือไนเตรต (KNO3, NaNO3) ทำให้ไส้กรอกเกิดสีและกลิ่นที่คงตัว และป้องกันไม่ให้ไส้กรอกเกิดการเน่าเสียจาก แบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจนในการหายใจ โดยในประเทศไทยได้กำหนดปริมาณสูงสุดในการใช้สารประกอบไนเตรต (KNO3, NaNO3) ที่สามารถใช้ได้ไว้ที่ 500 มิลลิกรัม ต่อผลิตภัณฑ์เนื้อหมัก 1 กิโลกรัม (ซึ่งหากคำนวณน้ำหนักของไนเตรตจริงๆแล้วจะมีไนเตรตน้ำหนักเพียง 125 มิลลิกรัมเท่านั้น) เพราะถ้าหากบริโภคไนเตรตมากเกินไปจะทำให้เป็นพิษต่อร่างกาย เนื่องจากไนเตรตหรือสารประกอบไนเตรต (KNO3, NaNO3) เมื่อเข้าสู่กระแสเลือดจะไปทำปฏิกิริยาออกซิไดซ์กับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือด ทำให้เม็ดเลือดแดงนั้นหมดสภาพ ไม่สามารถทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนได้ นอกจากนั้นแล้ว ไนเตรตหรือสารประกอบไนเตรต (KNO3, NaNO3) ยังทำให้เกิดสารประกอบไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งอีกด้วย

ภาษาจีน : 我爱你


คำบอกรักที่หนุ่มสาวใช้กันมากในประเทศจีน
 คือคำว่า "我爱你 : หว่อ อ้าย หนี่"  ที่แปลว่า "ฉันรักเธอ" 

ภาษาเกาหลี : 괜찮아


                                                          "괜찮아 : คเว ช่า นา : ไม่เป็นไร"
      หลายๆคนคงเคยได้ยินคำนี้ในเพลงเกาหลีแทบทุกเพลงเลยค่ะ  เป็นคำง่ายๆ ซึ่งทุกคนสามารถพูดได้  นั่นคือคำว่าเคว ช่า นา นั่นเองงงงง 

ภาษาจีน : 苹果


      แอปเปิ้ล (Apple) หรือ "苹果 : píngguǒ : ผิงกั่ว" มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Malus domestica Borkh. จัดอยู่ในวงศ์กุหลาบ (ROSACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อย MALOIDEAE หรือ SPIRAEOIDEAE มีถิ่นกำเนิดในประเทศอิหร่าน ปัจจุบันได้แพร่ขยายไปทั่วทวีปยุโรปและอเมริกา แอปเปิ้ลจึงจัดได้ว่าเป็นผลไม้เมืองหนาวที่นิยมรับประทานกันมากชนิดหนึ่ง สำหรับประเทศไทยก็มีปลูกเหมือนกันแถว ๆ ภาคเหนือ เช่น ดอยอ่างขาง โดยแอปเปิ้ลนั้นมักนิยมใช้รับประทานเป็นผลไม้สด และอาจใช้ปรุงอาหารได้ด้วย เช่น สลัด แยม พาย ซอสแอปเปิ้ลก็มีนะ แต่ถ้าเป็นของไทยเราที่เห็น ๆ กันก็ใช้ใส่น้ำยำ น้ำพริก เป็นต้น
       โดยคุณค่าทางโภชนาการของแอปเปิ้ลต่อน้ำหนัก 100 กรัม จะให้พลังงาน 52 kcal และ 220 kJ และยังประกอบไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุที่มีความสำคัญอย่างมากต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 กรดโฟลิก วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุสังกะสี ธาตุเหล็ก และยังประกอบไปด้วย คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนอีกด้วย เห็นไหมล่ะว่ามีคุณประโยชน์เต็ม ๆ สำหรับพันธุ์แอปเปิ้ลคาดกันว่าทั่วโลกจะมีอยู่ประมาณ 4,000-5,000 ชนิด โดยประโยชน์ของแอปเปิ้ลแต่ละสายพันธุ์จะโดดเด่นแตกต่างกันไปตามสีของแอปเปิ้ล คือ
  • แอปเปิ้ลสีแดง จะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเยอะที่สุด จึงเหมาะแก่การช่วยชะลอวัย ลดริ้วรอย เป็นต้น
  • แอปเปิ้ลสีชมพู มีสารที่ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและช่วยชะลอความแก่ชราได้ และยังช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ลดไข้ ลดการอักเสบ และยังช่วยให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง
  • แอปเปิ้ลเขียว มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เพราะมีน้ำตาลน้อยกว่าแอปเปิ้ลสีอื่น
  • แอปเปิ้ลเหลือง จะมีสารที่ช่วยในการลดอัตราความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ต้อกระจก และโรคหลอดเลือดหัวใจ


ประโยชน์ของแอปเปิ้ล

  1. แอปเปิ้ลมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากมายที่ช่วยในการชะลอวัย
  2. แอปเปิ้ลเหมาะกับการเป็นอาหารที่ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก ช่วยลดความอยากอาหารลง แม้แอปเปิ้ลจะมีน้ำตาลแต่ร่างกายก็สามารถดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน 10 นาที
  3. ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด หากรับประทานเป็นประจำวันละ 2-3 ผล
  4. เป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องการควบคุมน้ำตาลในเลือด เพราะแอปเปิ้ลมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำในปริมาณสูงที่จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดด้วย
  5. เป็นอาหารที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยภาวะเลือดเป็นกรด ไขข้อรูมาติก โรคเกาต์ ดีซ่าน
  6. แอปเปิ้ลก็มีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดฝ้าได้เหมือนกันนะ
  7. ช่วยในการลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย
  8. ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้
  9. ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้โดยตรง
  10. ช่วยป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน
  11. ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
  12. ช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรง
  13. ช่วยป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก
  14. ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร
  15. ช่วยลดไข้และช่วยลดการอักเสบ
  16. ช่วยละลายเสมหะ
  17. ช่วยลดความดันโลหิต
  18. ช่วยบำรุงหัวใจ
  19. แอปเปิ้ลไม่เพียงแต่มีประโยชน์เฉพาะเนื้อเท่านั้น สำหรับเปลือกก็จัดว่ามีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว สำหรับใครที่ไม่ชอบรับประทานเปลือก ขอให้รู้ไว้ว่าเปลือกก็มีความสำคัญไม่แพ้เนื้อเลย เนื่องจากมีสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยกำจัดสารพิษในร่างกายของเรา มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระชั้นเลิศ และที่สำคัญยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย ซึ่งก็ตรงกับงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุเอาไว้ว่าแอปเปิ้ลนั้นเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ “การรับประทานแอปเปิ้ลวันละ 1 ลูกจะป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้โดยตรง” แต่ทั้งนี้เวลารับประทานก็ควรจะล้างน้ำให้สะอาดด้วย (ไม่ต้องปอกเปลือกนะ ขนาดอาดัมกับอีฟยังหม่ำทั้งลูก)

ภาษาญี่ปุ่น : いちご


      สตรอเบอร์รี่ หรือ "いちご : Ichingo : อิจิโงะ" เป็นผลไม้ที่จัดอยู่ในสกุลไม้ดอกในวงศ์กุหลาบ มีมากกว่า 20 สปีชีส์และมีลูกผสมอีกมากมาย ผลสดของสตรอเบอร์รี่มีรสชาติหลากหลาย ตั้งแต่รสเปรี้ยวไปจนถึงรสหวานจัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่ปลูก โดยสตรอเบอร์รี่ที่นิยมปลูกในบ้านเราก็คือ สตรอเบอร์รี่สวน
    สตรอเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น เควอซิทิน (Quercetin) เคมเฟอรอล (Kaempferol) แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งสารดังกล่าวมีส่วนช่วยในการยับยั้งสารก่อมะเร็งต่าง ๆ ได้ และยังมีวิตามินซีในปริมาณสูง โดยสตรอเบอร์รี่สดประมาณ 100 กรัม จะมีวิตามินมากถึง 58 มิลลิกรัม และเมื่อนำไปเทียบกับผลไม้ชนิดอื่นในเรื่องการช่วยต้านอนุมูลอิสระพบว่า สตรอเบอร์รี่จะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าส้มถึงหนึ่งเท่าครึ่ง / มากกว่าองุ่นแดง 2 เท่า / มากกว่ากีวี 3 เท่า / มากกว่ามะเขือเทศ 7 เท่า / มากกว่ากล้วยหอม 7 เท่า และมากกว่าลูกแพรถึง 15 เท่า
      สตรอเบอร์รี่ยิ่งสดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากเท่านั้น ถ้ารับประทานทันทีได้ก็จะดีมาก (ล้างก่อนนะ) หรือไม่ก็ต้องเก็บไว้ในตู้เย็น และการรับประทานสตรอเบอร์รี่แบบสดๆ จะทำให้ได้รับสารอาหารจากสตรอเบอร์รี่มากที่สุด


ประโยชน์ของสตรอเบอร์รี่

  1. สตรอเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยในการชะลอวัย
  2. ช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจน จึงช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี
  3. เป็นผลไม้ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ต้องการจะลดน้ำหนักและความอ้วน เพราะมีพลังงานต่ำ
  4. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้แก่ร่างกาย
  5. ช่วยในการดีท็อกซ์สารพิษออกจากร่างกาย ช่วยทำให้ร่างกายมีสุขภาพดี
  6. มีส่วนช่วยบำรุงประสาทและสมอง
  7. ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
  8. ช่วยป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง
  9. ช่วยเพิ่มปริมาณไขมันชนิดดี (HDL) ซึ่งช่วยทำให้หลอดเลือดสะอาด ปราศจากคราบไขมัน
  10. ช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็งอย่างไนโตรซามีน (Nitrosamines) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้
  11. ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
  12. ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกได้
  13. ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน
  14. ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงและป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
  15. สตรอเบอร์รี่อุดมไปด้วยซูเปอร์ไฟเบอร์เพกทิน ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลได้
  16. มีส่วนช่วยบำรุงโลหิต
  17. ช่วยลดความดันโลหิต
  18. มีส่วนช่วยในการบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
  19. ช่วยป้องกันไม่ให้ทารกในครรภ์สมองพิการได้ (กรดโฟลิก)
  20. ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ช่วยปรับสมดุลของนัยน์ตาให้เป็นปกติ และป้องกันโรคต้อกระจก โรคตาบอดตอนกลางคืน การรับประทานสตรอเบอร์รี่เป็นประจำจึงช่วยลดความเสื่อมของจอประสาทตาได้ถึง 50%
  21. การดื่มน้ำสตรอเบอร์รี่จะช่วยบำรุงร่างกายหลังฟื้นไข้
  22. ช่วยป้องกันการเกิดโรคหวัดและภูมิแพ้
  23. ช่วยป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟันได้เป็นอย่างดี
  24. ช่วยทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ
  25. มีสรรพคุณทางยาเป็นยาระบายอ่อน ๆ
  26. ช่วยแก้อาการท้องร่วง (ด้วยการใช้เหล้าไวน์ 1 ถ้วยตวง ใส่รากและใบสตรอเบอร์รี่ตากแห้ง 1/2 ถ้วยตวง นำมาต้มน้ำให้เดือดแล้วกรองเอาแต่น้ำดื่มก่อนอาหารทุกมื้อ)
  27. ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ด้วยการรับประทานผลสดครั้งละ 5 ผล
  28. มีส่วนช่วยรักษาโรคนิ่วในไต
  29. ช่วยรักษาโรคทางเดินปัสสาวะ (ด้วยการใช้เหล้าไวน์ 1 ถ้วยตวง ใส่รากและใบสตรอเบอร์รี่ตากแห้ง 1/2 ถ้วยตวง นำมาต้มน้ำให้เดือดแล้วกรองเอาแต่น้ำดื่มก่อนอาหารทุกมื้อ)
  30. ช่วยแก้ปัญหาประจำเดือนมาไม่เป็นปกติด้วยการใช้ใบและราก (โดยการใช้เหล้าไวน์ 1 ถ้วยตวง ใส่รากและใบสตรอเบอร์รี่ตากแห้ง 1/2 ถ้วยตวง นำมาต้มน้ำให้เดือดแล้วกรองเอาแต่น้ำดื่มก่อนอาหารทุกมื้อ) ตากแห้ง นำมาชงกับน้ำเดือด แล้วดื่มแทนชา และใช้รากสตรอเบอร์รี่ 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำเดือด 1 กาขนาดกลาง
  31. ช่วยบรรเทาอาการของโรคตับอักเสบ
  32. ช่วยป้องกันการเกิดโรคข้ออักเสบ
  33. ช่วยป้องกันการเกิดโรคเหน็บชา
  34. ช่วยป้องกันโรคเกาต์
  35. ช่วยระงับกลิ่นปากได้ดี ทำให้ลมหายใจสดชื่น (ใช้ใบสดนำมาแช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืน แล้วนำมาอมบ้วนปาก)
  36. ช่วยแก้อาการเจ็บคอ รักษาแผลในช่องปาก (ด้วยการใช้ใบสดสตรอเบอร์รี่นำมาแช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืน แล้วนำน้ำมาใช้กลั้วคอ)
  37. ช่วยรักษาสุขภาพเหงือกและฟันให้แข็งแรง (ด้วยการใช้ใบสดสตรอเบอร์รี่นำมาแช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืน แล้วนำน้ำมาใช้กลั้วคอ)
  38. ใบสดนำมาโขลกแล้วนำไปประคบตามร่างกาย ช่วยลดอาการอักเสบบวมช้ำได้เป็นอย่างดี
  39. ใบสตรอเบอร์รี่นำมาซ้อนกันหลาย ๆ ใบ ใช้ประคบแก้รอยช้ำบวมตามร่างกาย
  40. ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ด้วยการนำผลสตรอเบอร์รี่สดมาฝานบาง ๆ วางให้ทั่วบริเวณใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
  41. ใช้ทำความสะอาดผิวหน้า ด้วยการใช้สตรอเบอร์รี่ประมาณ 3 ผลผสมกับน้ำมะนาว แล้วนำมานวดทาบริเวณใบหน้าแล้วล้างออก ซึ่งจะช่วยทำความสะอาด ปรับสภาพผิว และลดการอุดตันของรูขุมขนได้เป็นอย่างดี
  42. ช่วยทำให้ฟันขาวสะอาด เงางาม ด้วยการใช้ใบสตรอเบอร์รี่และรากที่ตากแห้งมาใส่โถปั่นจนเป็นผง แล้วนำมาใช้แทนยาสีฟัน
  43. มีการนำไปแปรรูปอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสตรอเบอร์รี่เชื่อม, น้ำสตรอเบอร์รี่, แยมสตรอเบอร์รี่, ไวน์สตรอเบอร์รี่, สตรอเบอร์รี่อบแห้ง, เค้กสตรอเบอร์รี่, โยเกิร์ตสตรอเบอร์รี่ เป็นต้

ภาษาฝรั่งเศษ : Le coeur


      หัวใจ หรือที่เรียกกันในภาษาฝรั่งเศษว่า "Le coeur : เลอ เคอ" จะประกอบด้วยกล้ามเนื้อพิเศษที่เรียกว่า  กล้ามเนื้อหัวใจ  ซึ่งมีลักษณะคล้ายดอกบัวตูม  แบ่งออกเป็นห้องบน (ห้องรับเลือด)  2  ห้อง  เรียกว่า  เอเตรียม  ห้องล่าง  2  ห้อง (ห้องสูบฉีดเลือด) เรียกว่า  เวนตริเคิล
ห้องรับเลือด  เรียกว่า  เอเตรียม  (Atrium)  หรือ  ออริเคิล  (auricle)  ได้แก่
      – ห้องบนขวา  รับเลือดดำ  (มีออกซิเจนต่ำ)  จากศีรษะแขนขาทั้งสองข้างและลำตัว
      – ห้องบนซ้าย  รับเลือดแดง  (มีออกซิเจนสูง)  จากปอด
ห้องสูบฉีดเลือด  เรียกว่า  เวนทริเคิล  (ventricle)  ได้แก่
      – ห้องล่างขวา  สูบฉีดเลือดดำไปปอด
      – ห้องล่างซ้าย  สูบฉีดเลือดแดงไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ลิ้นหัวใจ 
      หัวใจห้องบนซ้าย – ล่างซ้าย  จะมีลิ้นไบคัสพิด  คั่นอยู่  และห้องบนขวา – ล่างขวา
จะมีลิ้นไตรคัสพิด  คั่นอยู่  ซึ่งลิ้นหัวใจทั้งสองจะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ

หัวใจคนและการหมุนเวียนของเลือดผ่านหัวใจไปและกลักลับจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

    การหมุนเวียนของเลือดจากหัวใจจากหัวใจและกลับจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายนั้นต้องอาศัยหลอดเลือด  ซึ่งอยู่ทั่วไปทุกส่วนของร่างกาย  หลอดเลือดในร่างกาย  หลอดเลือดในร่างกายคนเราแบ่งออกเป็น  3  ชนิด  คือ
1. หลอดเลือดแดง  (Attery)
     เป็นหลอดเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจไปยังส่วนต่าง  ๆ ของร่างกาย   เลือดที่อยู่ในหลอดเลือดแดงมีปริมาณออกซิเจนมาก ยกเว้นเลือดที่ส่งไปยังปอดซึ่งเป็นเลือดดำมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์มาก  หลอดเลือดแดงมีผนังหนาและแข็งแรง เพื่อให้มีความทนทานต่อแรงดันเลือดที่ถูกฉีดออกจากหัวใจ
2. หลอดเลือดดำ  (Veins)  
     เป็นหลอดเลือดที่นำเลือดจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเข้าสู่หัวใจ  เลือดอยู่ในหลอดเลือดนี้เป็นเลือดดำ  มีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์มาก  ยกเว้นเลือดที่นำจากปอดมายังหัวใจจะเป็นเลือดแดง  และมีลิ้นป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ
3. หลอดเลือดฝอย  (Capollary)
     เป็นหลอดเลือดที่มีขนาดเล็กละเอียด  เป็นฝอยติดต่ออยู่
ระหว่างแขนงเล็ก ๆ ของหลอดเลือดและหลอดเลือดแดง  หลอดเลือดฝอยนี้มีผนังบางมาก  ประกอบด้วยเซลล์เพียงชั้นเดียว
     ขณะหัวใจบีบตัว  เลือดจะถูกดันออกไปตามหลอดเลือดแดงด้วยความดันสูง  ทำให้เคลื่อน
ที่ไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย  และนำเลือดกลับเข้าสู่หัวใจด้วยกัน  ซึ่งขณะที่หัวใจรับเลือดเข้าไปนั้น  จะมีความดันน้อยที่สุด
ความดันเลือด  หมายถึง  ความดันในหลอดเลือดแดงมีหน่วยเป็น  มิลลิเมตรของปรอท  มีค่าตัวเลข  2  ค่า  เช่น  120/80  มิลลิเมตรของปรอท
      - ตัวเลข  120  แสดง  ค่าของความดันเลือดขณะหัวใจบีบตัวให้เลือดออกจากหัวใจ
      - ตัวเลข  80  แสดง  ค่าของความดันเลือดขณะที่หัวใจคลายตัวรับเลือดเข้าสู่หัวใจ
      ปกติความดันเลือดสูงสุดขณะหัวใจบีบตัวให้เลือดออกจากหัวใจจะมีค่าประมาณ  100 + อายุ  และ
ความดันเลือดขณะหัวใจรับเลือดไม่ควรเกิน  90  มิลลิเมตรของปรอท โดยมีเครื่องมือวัดความดันเลือด  เรียกว่า  มาตรความดันเลือด  จะใช้คู่กับสเต็ทโทสโคป  โดยวัดความดันที่หลอดเลือดแดง
ปัจจัยที่มีผลต่อความดันเลือด  ได้แก่  อายุ   เพศ  ขนาดของร่างกาย  อารมณ์  การทำงาน  การออก
กำลังกาย  และอริยาบถต่าง ๆ
ความดันโลหิตสูง  มีสาเหตุมาจาก
     1) หลอดเลือดตีบตัน  โรคนี้เป็นกันมากในผู้สูงอายุ
     2) ระดับไขมันในเลือดสูง
     3) มีอารมณ์โกรธง่าย  และมีจิตใจเครียดเป็นประจำ
การปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง คือ  ควรลดอาหารที่มีรสเค็ม  ลดความวิตกกังวล  หลีกเลี่ยงบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ชีพจร  คือ  การหดตัวและคลายตัวของหลอดเลือดในจังหวะเดียวกับการหดและคลายตัวของหัวใจ
ชีพจรสามารถวัดได้จากหลอดเลือดแดงที่อยู่ตื้น ๆ ใต้ผิวหนัง  เช่น  หลอดเลือดแดงที่ข้อมือข้างนิ้วหัวแม่มือ  ซอกคอ  ขาหนีบ  เป็นต้น อัตราชีพจรเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับกิจกรรมของร่างกาย  อารมณ์  และสภาพร่างกาย

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ภาษาเกาหลี : 친구


แฟน
    หมายถึง บุคคลที่ชื่นชอบ สามารถหมายถึงความรักหรือคนรักกันที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน หรืออาจหมายถึงสามี ภรรยา ในการพูดคุยครั้งหนึ่งๆที่พูดโดยฝ่ายสามีหรือฝ่ายภรรยานั่นเอง ซึ่งคำว่า"แฟน"นั้น ในภาษาเกาหลีผู้ชายเเละผู้หญิงจะเรียกแฟนตัวเองเเตกต่างกันไป คือ
남자친구 (นัมจาชินกู)  แปลว่า แฟน เป็นคำที่ผู้หญิงเรียกแฟนตัวเอง
여자친구 (ยอจาชินกู)  แปลว่า แฟน เป็นคำที่ผู้ชายเรียกแฟนตัวเอง